มโนปณิธาน (หนังสือพิมพ์คมชัดลึก หน้าธรรมวิจัย วันอังคารที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ )
บายไลน์ มนสิกุล โอวาทเภสัชช์
(๑๙) กว่ามะม่วงจะสุก
หลังจากการตัดสินใจอีกครั้งผ่านไปด้วยดี ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชกิจจาภรณ์ สมัยยังเป็นพระมหาเทอด ญาณวชิโร ก็เดินทางโดยรถไฟกลับวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ
จุดเปลี่ยนในชีวิตอีกครั้งจากศรัทธาญาติโยมที่ตั้งใจนิมนต์ท่านเป็นเจ้าอาวาสในวัยหนุ่ม นำมาสู่การเติบโตทางความคิดที่นำไปสู่ความลุ่มลึกในการมองภาพรวมของคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาอย่างไร
ในวันที่มีโอกาสไปกราบท่านเจ้าคุณอาจารย์ ท่านเมตตาพาชมกุฏิหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ในคณะ ๕ ซึ่งมีเพียงเตียงไม้เล็กๆ ติดหน้าต่างบานหนึ่ง หันศรีษะไปทางภูเขาทอง แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า ปกติเวลาจำวัดหลวงพ่อสมเด็จจะหันศรีษะไปทางภูเขาทอง เพื่อเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ท่านจะจำวัดบนพื้นไม้ ในห้องเดิมซึ่งอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณร ปูผ้าอาบผืนเดียว มีหมอนใบเดียว ห่มผ้าจีวรจำวัด ท่านจะไม่ใช้ผ้าห่ม จนกระทั่งในช่วงหลังๆ ท่านเริ่มชราและอาพาธ คุณหมอจึงให้ท่านจำวัดบนเตียงนี้ แต่ช่วงแรกๆ ท่านก็ยังลงมาปูผ้าอาบจำวัดข้างๆ เตียง บอกว่า ท่านจำวัดบนพื้นไม้มานานจนชินแล้ว
แม้เวลาสรงน้ำ ท่านก็ใช้ผ้าอาบเช็ดตัว ไม่ใช้ผ้าขนหนู มีโยมมาถวายผ้าห่มหรือผ้าเช็ดตัว ท่านจะรับไว้เพื่อรักษาศรัทธา แล้วมอบให้พระเณรตามโอกาส
ที่หน้าห้องมีโต๊ะทำงานของหลวงพ่อสมเด็จ เป็นเพียงโต๊ะตัวเล็กๆ ธรรมดาและเก้าอี้ตัวเดียวเท่านั้น ท่านเจ้าคุณอาจารย์เล่าต่อมาว่า หลังทำวัตรค่ำหลวงพ่อสมเด็จจะนั่งที่โต๊ะตัวนี้เป็นประจำ ดูฤกษ์ยามออกรถใหม่ ลงไม้มงคลปลูกบ้าน ดูฤกษ์งานแต่ง ตั้งชื่อให้กับเด็กที่เกิดใหม่ ตามแต่จะมีผู้มาขอ และวินิจฉัยการพระศาสนาในประเทศ ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย ไปจนถึงการพระศาสนาในต่างประเทศทั่วโลก พระเณรในพระอารามมีเรื่องอะไรก็จะมากราบเรียนท่านที่นี่ เวลาดูข่าวจะไม่มีใครรบกวนท่าน โดยเฉพาะข่าวในพระราชสำนัก หากพอมีเวลาก็จะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้พระเณรฟังไม่รู้จักเหนื่อย สำหรับญาติโยมที่มาพบ ท่านจะรับที่ศาลาเรือนไทยหน้ากุฏิ ท่านจะฟังปัญหาจากญาติโยมที่มาปรึกษาอย่างตั้งใจ ให้เขาคลายใจว่า มีผู้รับรู้ทุกข์ของเขา แล้วก็จะให้ข้อธรรม ให้ศีลให้พร พอเป็นหลักในการประครองสติต่อไป
จากนั้นท่านก็พาชมสมุดวิชาโบราณต่างๆ ของสำนัก ตั้งแต่ตำรายา ตำราพิชัยสงคราม โหราศาสตร์ ฤกษ์ยาม เป็นต้น ดูสมุดบันทึกและหนังสือที่หลวงพ่อสมเด็จเรียนบาลีตั้งแต่เป็นสามเณร เป็นพระมหา ตลอดจนงานหนังสือที่หลวงพ่อสมเด็จเขียน ไปจนถึงอาสนะที่หลวงพ่อสมเด็จนั่ง ทุกอย่างจัดวางไว้คงเดิมสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นประธานให้กับคณะสงฆ์ได้มีกำลังใจในการทำงานเพื่อพระพุทธศาสนากันอย่างเต็มกำลัง ทำให้ได้มีโอกาสสัมผัสวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อสมเด็จที่เรียบง่าย แม้ว่าท่านจะมีงานบริหารคณะสงฆ์มากมายในยุคที่เป็นประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชก็ตาม
ท่านเมตตาเล่าให้ฟังต่อมาว่า กลับไปครั้งนี้หลวงพ่อสมเด็จเริ่มสอนให้คิด ให้มองคณะสงฆ์แบบภาพรวม ไม่ให้มองจุดใดจุดหนึ่ง หรือมุมใดมุมหนึ่ง สอนให้มีชุดความรู้ และชุดความคิดหลายๆ ชุด สอนให้เห็นว่า การปกครองคณะสงฆ์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นกลไกให้พระศาสนาเดินไปได้อย่างมีทิศทาง ไม่ใช่ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ หลวงพ่อสมเด็จบอกเสมอว่า มีผู้อยากให้คณะสงฆ์อ่อนแอ อ่อนกำลัง จึงพยายามทำลายระบบการปกครองคณะสงฆ์ เหมือนพยายามตัดเส้นเอ็นออกจากกระดูก ในที่สุดพระศาสนาก็เดินต่อไปไม่ได้ เพราะไร้ทิศทาง คณะสงฆ์จึงต้องฝากพระศาสนาไว้กับงานเผยแผ่ ทำงานเผยแผ่กันให้มาก การเผยแผ่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการปกครองคณะสงฆ์ แม้การก่อสร้างซ่อมแซมบูรณะวัดวาวิหารเรือนพระเจดีย์ พระเณรก็ต้องทำ รวมไปถึงการช่วยเหลือสงเคราะห์สังคม การศึกษาทั้งนักธรรม บาลี และปริยัติสามัญ ตลอดจนความรู้อื่นๆ ที่ไม่ขัดพระธรรมวินัย ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ เป็นความมั่นคงของพระศาสนา
ท่านสอนให้มองกว้างออกไปจนถึงต่างประเทศ ต้องนำพระศาสนาออกไปยังต่างประเทศ เป็นการเตรียมหาที่มั่นแห่งใหม่ให้กับพระศาสนา หากพระโสณะพระอุตระไม่เสียสละเดินทางจาริกท่องเที่ยวมา สุวรรณภูมิก็คงไม่ได้เป็นที่มั่นพระศาสนามาจนถึงทุกวันนี้
“ขณะเดียวกัน ในช่วงนั้น ก็เริ่มเขียน “หลักการทำบุญและการปฏิบัติธรรม” ซึ่งตอนแรกไม่ได้ตั้งใจทำเป็นหนังสือ แต่เริ่มต้นจากการเขียนจดหมายถึงโยมแม่ใหญ่ (โยมย่า) ก่อน เพราะตอนที่กลับมาที่บ้านเกิดในอุบลราชธานี ทุกครั้งที่วัดจัดปฏิบัติธรรม โยมแม่ใหญ่ก็จะเข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดด้วยเป็นประจำ ส่วนโยมพ่อใหญ่ (โยมปู่) แม้ไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่ท่านก็จิตใจดี คิดตามประสาชาวบ้านว่า โยมแม่ใหญ่เข้าวัดแล้ว ตัวท่านก็คงจะได้เหมือนกัน เพราะโยมพ่อใหญ่มีอัธยาศัยชอบสันโดษ ไม่ชอบผู้คนมากมาย ชอบอยู่เถียงนา อยู่ตามป่า ตามทุ่ง แต่ถึงแม้โยมพ่อใหญ่ไม่ได้เข้าวัด พอถึงวันพระท่านก็จะเป็นผู้คอยเตือนโยมแม่ใหญ่ให้ไปวัดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำไร่ ทำนา ทำสวน หากได้ยินเสียงพระกลองแลงสะท้อนาจากวัด โยมพ่อใหญ่ก็จะเตือนให้โยมแม่ใหญ่วางมือจากงานไปวัดฟังเทศน์ ส่วนอาตมาตอนเป็นเด็กก็จะมีหน้าที่เก็บดอกไม้เตรียมให้โยมแม่ใหญ่ไปบูชาพระ
“ตอนที่กลับมากรุงเทพฯ อีกครั้ง ก็เห็นว่า โยมทั้งสองอายุมากแล้ว อาจจะอยู่อีกไม่นาน และการจากกันครั้งที่สอง โยมก็คงคิดถึงเหมือนกัน จะทำอย่างไรให้โยมได้ฟังธรรม จึงเริ่มเขียนจดหมาย เขียนด้วยลายมือ เนื่องจากเป็นจดหมายที่ค่อนข้างยาว ไม่อาจเขียนจบในวันเดียว ดังนั้นจึงใช้เวลาในตอนเช้าตื่นมาตีสี่ตีห้าก็เขียนก่อนออกไปบิณฑบาต เขียนทุกวันจนคิดว่าเพียงพอต่อฉบับหนึ่งก็ส่งให้โยม แล้วก็ซื้อเครื่องเล่นเทปไปให้โยมเครื่องหนึ่ง พร้อมกับเทปธรรมะของหลวงพ่อชา สุภัทโท บ้าง ละครธรรมะบ้าง ที่คิดว่าเหมาะกับท่าน แล้วก็เขียนจดหมายแต่ละฉบับไปให้
“จนกระทั่ง เขียนถึงฉบับที่สองหรือที่สาม ไม่แน่ใจ โยมปู่ก็ป่วย อาตมากลับมาเยี่ยมหลายครั้ง แล้วในที่สุดโยมปู่ก็สิ้น โดยที่ยังไม่ได้อ่านจดหมายฉบับต่อมา ช่วงเวลานั้น เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ความพลัดพรากเป็นธรรมดามาเยือน จึงนำจดหมายฉบับนั้นเผาไปให้โยมพ่อใหญ่ด้วย ต่อมาอีกไม่กี่ปี โยมแม่ใหญ่ก็จากไปเช่นกัน จดหมายก็เขียนต่อเนื่องเป็นฉบับที่ ๔ ซึ่งเป็นฉบับสุดท้ายที่เขียน
“หนังสือ หลักการทำบุญและการปฏิบัติธรรม เล่มนี้ จริงๆ แล้วไม่ได้เจตนาให้เป็นหนังสือ แต่เป็นจดหมายที่เขียนถึงโยม ต่อมามีโยมเห็นต้นฉบับที่เขียนเป็นลายมือ เขาก็เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ จึงขอไปพิมพ์ จึงรวบรวมพิมพ์ขึ้นมา ก็มีปรับสำนวนบ้าง เพิ่มเติมอะไรลงไปบ้าง เพื่อให้เป็นหนังสือมากขึ้น”
นั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของหนังสือที่เขียนจากประสบการณ์ชีวิตจริงของท่าน ทำให้เข้าใจบวรพระพุทธศาสนาที่หยั่งลึกในประเทศไทย อยู่ในหัวใจชาวไทย มายาวนานกว่า ๑๐๐๐ ปี จนเกิดความมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ จากจุดกำเนิดเล็กๆ ของเด็กชายคนหนึ่งที่ปรารถนาจะเป็นพระ เพราะเห็นคุณย่าเตรียมข้าวปลาอาหารและดูแลมะม่วงที่กำลังออกผลเป็นอย่างดีเพื่อเตรียมไว้ใส่บาตรและไปวัดรักษาอุโบสถศีลในวันพระ ก่อเกิดเป็นมโนปณิธานอันมั่นคงในวันนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป หน้าธรรมวิจัย วันอังคารหน้า )