อาตาปี สติมา สัมปชาโน ๓ คำที่สำคัญ(๒)

การจะรู้กองลมทั้งปวงได้ต้องดำเนินไปใน ๓ ขั้นตอน เรียกว่า อาตาปี สติมา สัมปชาโน คือ
๑.มีสติยึดลมหายใจเข้าลมหายใจออกให้ได้ ถ้าเผลอสติหลุดลอยออกไปจากการรู้ลมหายใจก็ให้มีสติยกจิตขึ้นสู่ลมหายใจใหม่อีกครั้ง มีความเพียรทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเพียรพยายามไม่หยุดหย่อน ใช้ความอดทน หนักแน่น เด็ดเดี่ยว แผดเผาความเกียจคร้าน ความเบื่อหน่าย ความเหลาะแหละออก เหมือนใช้ความร้อนของไฟเผาเหล็กตีเอาสนิมเหล็กออกให้เหลือเนื้อเหล็กกล้าแท้ๆ
๒.เมื่อสติสามารถยึดลมหายใจเข้าออกได้แล้วก็ตามศึกษา คือเพียรพยายามตามพิจารณาดู สำเหนียกรู้ตลอดลมหายใจเข้าออกว่า เป็นอย่างไร เมื่อหายใจเข้า รู้สึกอย่างไร ดูความหยาบ ดูความบางเบา ดูความละเอียดละเมียดละไมของลมหายใจที่ถูกดึงเข้าผ่านโพรงจมูก รู้สึกเหมือนลมหายใจกระจายตัวบางเบาอยู่หน้าผากด้านใน รู้ลมหายใจที่หยาบ และบางเบาละเอียดลงไปตามลำดับ จนรับรู้ได้เหมือนกับว่าลมหายใจหายไป
ลมหายใจหายไปก็รู้ ลมหายใจกลับมาปรากฏก็รู้
คำว่า “ตามศึกษา” ในที่นี้ก็คือความเพียรพยายามในการเพ่งการรับรู้ เพ่งความสนใจ การน้อมใจไปอยู่กับลมหายใจ การน้อมใจไปตามดูความเป็นไปของลมหายใจ ตลอดจนการรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นขณะหายใจเข้าออก
๓.เมื่อมีสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น และรับรู้ได้ว่าลมหายใจกำลังแปรเปลี่ยนสภาพจากหยาบไปสู่ความละเอียดลงตามลำดับ ลมหายใจจะเหลือน้อยลง น้อยลงทุกขณะ จนรู้สึกรับรู้ได้ว่าลมหายใจหายไป จะเหลือเพียงความรู้เท่านั้นที่รู้อยู่อย่างนั้น จะเกิดภาวะของปีติ ลิงโลดใจสุขใจอย่างประหลาดผุดขึ้นมาแทนที่ จิตจะละจากลมหายใจหันมายึดปีติเป็นอารมณ์
หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าปีติเป็นอย่างนี้นี่เอง
หายใจออกก็ให้รู้ว่าปีติเป็นอย่างนี้นี่เอง
หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าสุขเป็นอย่างนี้นี่เอง
หายใจออกก็ให้รู้ว่าสุขเป็นอย่างนี้นี่เอง
ให้รู้ด้วยว่า อาการที่ลมหายใจปรากฏเคลื่อนไหวเข้าออกผ่านจมูกเป็น “กาย” เพราะลมหายใจเป็นส่วนของกายที่หายใจเข้าออกอยู่ตามธรรมชาติ
การกำหนดเห็นลมหายใจเข้าออกได้ชัดเจนเป็น “สติ”
ส่วนการตามรู้ลมหายใจเข้าออกได้ตลอดสาย ตลอดจนอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับลมหายใจเป็นความรู้ตัว เป็น“ปัญญา” หรือ “ญาณ”
ลมหายใจเข้าออกเป็น “กาย”
การประคองจิตให้ยึดลมหายใจไว้ได้เป็น “สติ”
การตามรู้ลมหายใจเข้าออกได้ตลอดสายเป็น “ปัญญา” หรือ “ญาณ”
เมื่อสติเติบโตขึ้นตามลำดับความรู้สึกตัวก็ชื่อว่าเติบโตขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน เหมือนแก่นของต้นไม้จะค่อยๆ โตขึ้นตามขนาดต้นไม้ ไม่ก่อนไม่หลัง พอดีพองามกัน
ความคิดกับความรู้สึกตัวเป็นคนละอย่างกัน แต่เป็นเงาของกันและกัน ความรู้สึกตัวเป็นปัญญาที่คอยรู้เท่าทันความคิด พอเราฝึกให้เกิดความรู้สึกตัวมากเข้า ความรู้สึกตัวก็จะมีกำลังขึ้นมา เมื่อความรู้สึกตัวมีกำลังมากกว่าความคิด พอความคิดเกิดขึ้นมา ความรู้สึกตัวก็จะเกิดตามมารู้ความคิดได้ตลอดเหมือนเงาคนในที่แจ้ง
ฝึกการมีสติจนทำให้ความรู้สึกตัวกลายเป็นเงาของความคิด คิดเมื่อไหร่รู้เมื่อนั้น คิดเมื่อไหร่รู้สึกตัวเมื่อนั้น
การเฝ้าดูลมหายใจก็เหมือนนายพรานดักยิงกวาง พอเห็นพุ่มไม้ไหวแวบๆ ก็รู้ทันทีว่ามีสัตว์วิ่งผ่านไป แต่มองเห็นยังไม่ชัด พอนั่งจดจ่อซุ่มดูอยู่นิ่งๆ ได้เห็นกวางชัดขึ้น จึงเพ่งจับจ้องเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา จนรู้แน่ชัดว่าเป็นกวาง การดูลมหายใจก็เช่นเดียวกัน ลมหายใจก็เหมือนกวาง นายพราน คือ สติ ตอนแรกเห็นลมหายใจยังไม่ชัด ต้องอดทนนั่งเฝ้าดูบ่อยครั้งเข้าจึงจะค่อยๆ เห็นชัดขึ้น
การอดทนเพียรพยายามเพ่งจับจ้องจนเห็นลมหายใจชัดทุกมุม หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หายใจเข้าออกสั้นก็รู้ หายใจเข้าออกยาวก็รู้ลมหายใจหยาบก็รู้ ลมหายใจละเอียดก็รู้ ลมหายใจหายไปก็รู้ ลมหายใจกลับมาปรากฏก็รู้ ความคิดเกิดขึ้นก็รู้ ความคิดหายไปก็รู้ เหมือนนายช่างผู้ชำนาญการเจียระไนเพชรส่องรู้ทุกเหลี่ยมมุมของเพชรที่ถูกเจียระไนแล้วอย่างวิจิตร เหมือนนักอักษรศาสตร์ผู้ชำนาญในการใช้คำ ให้เกิดความวิจิตรงดงาม ย่อมรู้วิธีเพิ่มคำลดคำเพื่อให้เนื้อความสละสลวย
รู้ลมหายใจอยู่อย่างนี้ “เป็นปัญญา”
…..
หนังสือ “สุดทางจงกรม”
สมาธิเบื้องต้นสำหรับลงมือปฏิบัติ(สติปัฏฐาน ๔)

พระราชกิจจาภรณ์
(เทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
“ญาณวชิระ”