วิธีกำหนดอารมณ์พระกรรมฐาน(๑)

การนั่งสมาธิทำได้หลายวิธี ในที่นี้จะพูดถึงการใช้วิธีกำหนดลมหายใจเป็นหลักในการฝึกปฏิบัติ เนื่องจากลมหายใจอยู่กับตัวเรา ไม่ว่าเวลาหลับหรือเวลาตื่น จึงง่ายต่อการกำหนด วิธีปฏิบัติ ในเบื้องต้นให้ดูการมีอยู่ของร่างกายเราก่อน ให้ทำความรู้สึกตัวว่าเรามีร่างกาย โดยใช้ความรู้สึกนึกคิดไปสำรวจดูตามเนื้อตามตัวของเรา ใช้ความรู้สึกสำรวจดูอย่างธรรมดา เป็นการปลุกสติให้เกิดความรู้สึกตัว

เมื่อเห็นการมีอยู่ของกายก็จะเห็นว่ากายยังมีชีวิต มีเลือดมีเนื้อเป็นๆ ก้อนเนื้อหัวใจยังเต้นอยู่ในกายนี้ แล้วก็จะเห็นต่อไปว่าที่ร่างกายยังมีชีวิตก็เพราะกายยังมีลมหายใจ แล้วเราก็จะเห็นลมหายใจที่กำลังเข้าออกเด่นชัดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องทำอะไรกับลมหายใจ

เมื่อเห็นว่าร่างกายที่ยังมีชีวิตจึงยังหายใจ และเห็นลมหายใจเด่นชัดขึ้นมาก็ทดลองดึงลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดแล้วปล่อยลมหายใจออกมา แล้วดึงลมหายใจกลับเข้าไปจนเต็มปอดอีก แล้วปล่อยลมหายใจออกมา ทำอย่างนี้สองครั้งสามครั้ง

เป็นการทดสอบระบบลมหายใจว่ามันติดมันขัดอะไรไหม เห็นลมหายใจชัดไหม เพื่อให้สัญญาจำได้หมายรู้ลักษณะของลมหายใจ จากนั้นก็ปล่อยให้ลมหายใจเดินตามธรรมชาติ
เมื่อเริ่มฝึกสมาธิ จิตจะยังเร็วจึงมีความฟุ้งซ่านมาก ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตเอง

อีกประการหนึ่ง การที่จิตมีความฟุ้งซ่านมากก็อาจเกิดจากการที่จิตกระทบอารมณ์ที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้างมาตลอดทั้งวัน เวลานั่งสมาธิ อารมณ์ดีบ้างไม่ดีบ้างจึงติดพ่วงมารบกวน ทำให้จิตฟุ้งไปตาม เดี๋ยวจิตก็ไปดึงเอาคำด่าบ้าง ไปดึงเอาคำยกยอปอปั้นบ้างมาคิด ซึ่งในแต่ละวันจะไม่เหมือนกัน พอนั่งสมาธิลง จิตจึงฟุ้งไปตามอารมณ์นั้นๆ

หากจิตมีความฟุ้งซ่านมาก ครูบาอาจารย์ท่านก็มีวิธีกำหนดอารมณ์พระกรรมฐาน ดังนี้

ขณะนั่งสมาธิ จิตมีความหงุดหงิด ฟุ้งซ่านมาก ท่านให้บริกรรม พุทโธๆ ๆ ไปเรื่อยๆ โดยยังไม่ต้องให้ความสนใจกับลมหายใจ ให้ใช้ พุทโธ เป็นคำบริกรรม บางคนบริกรรมพุทโธไปแล้ว รู้สึกเบาสบายขึ้น จิตสงบดี อาจใช้พุทโธเป็นหลักในการปฏิบัติสมาธิก็ได้

บางทีสำหรับบางคน นั่งว่า “พุทโธๆ ๆ” ไป ก็อาจไม่ได้ช่วยอะไรมาก จะเปลี่ยนมาใช้วิธีนั่งนึกถึงเรื่องราวของพระพุทธเจ้าก็อาจทำให้จิตรวมดวงเกิดปีติได้เช่นกัน

อีกวิธีหนึ่ง หากจิตมีความหงุดหงิดฟุ้งซ่านมากก็ให้บริกรรมพุทโธๆ ๆ ไปเรื่อย จนรู้สึกว่า ความหงุดหงิดลดลง พอจิตเบาสบายขึ้นแล้วก็ละจากพุทโธ มาให้ความสนใจเพ่งจับจ้องอยู่กับลมหายใจเข้าออก วิธีนี้เป็นวิธีตั้งหลักก่อน โดยเอาพุทโธเป็นหลัก ถ้ารู้สึกว่านั่งไปแล้วจิตฟุ้งมากก็ตั้งหลักไว้ที่พุทโธก่อน พอหลักดีแล้วจึงเปลี่ยนขณะจิตไปกำหนดลมหายใจ

การเริ่มต้นนั่งสมาธิด้วยการบริกรรม พุทโธ เป็นการตั้งหลักก่อน ให้จิตมีหลักเหมือนคนเพิ่งสร่างไข้เพิ่งฟื้นจากการนอนป่วยมานาน แข้งขายังอ่อนแรง ต้องกลับมาหัดเดินใหม่ จะยืนก็ต้องตั้งหลักให้ดีก่อน จะนั่งก็ต้องตั้งหลักให้ดีก่อน คนหัดนั่งสมาธิใหม่ๆ ก็ต้องตั้งหลักก่อนเหมือนกัน ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าท่านว่าให้ตั้งหลักไว้ที่พุทโธ

หายใจเข้า เห็นลมหายใจเข้า บริกรรมว่า พุทๆ ๆ ๆ หายใจออก เห็นลมหายใจออก บริกรรมว่า โธๆ ๆ ๆ หายใจเข้า เห็นลมหายใจเข้า บริกรรมว่า พุทๆๆ ๆ หายใจออก เห็นลมหายใจออก บริกรรมว่า โธๆ ๆ ๆ
หายใจเข้า เห็นลมหายใจเข้า บริกรรมว่า พุทๆ ๆ ๆ ให้รู้สึกถึงลมหายใจที่ผ่านเข้าโพรงจมูก แตะหน้าผากด้านใน ระบายถึงสมอง ผ่านช่องคอ ลงทรวงอก แล้วอัดเข้าสู่ปอดจนเต็ม ทำให้กระบังลมขยายออก แผ่การรับรู้ออกไปทั่วร่างกายจนสัมผัสได้ถึงอาการที่หน้าท้องขยายออกเต็มที่

หายใจออก เห็นลมหายใจออก บริกรรมว่า โธๆๆ ๆ ให้รู้สึกถึงลมหายใจที่ระบายออกมาจากปอดผ่านทรวงอกกระทบหน้าผากด้านใน กระทบโพรงจมูก และริมฝีปาก ออกไป แผ่ความรู้สึกด้วยสติระลึกรู้ออกไปทั่วร่างกายจนสัมผัสได้ถึงอาการกระเพื่อมของกระบังลมและหน้าท้องที่ห่อยุบลง

พอบริกรรม พุทโธๆ ๆ ไป จนความหงุดหงิดลดลง จิตไม่ดิ้นรนทุรนทุรายแล้ว แสดงว่า เริ่มตั้งหลักได้ก็ให้ย้ายจิตหรือเปลี่ยนความสนใจจากพุทโธ มาให้ความสนใจอยู่กับลมหายใจ

บางคนเวลานั่งสมาธิ ไม่ถนัดที่จะบริกรรม พุทโธ ไปพร้อมกับการดูลมหายใจ เนื่องจากจะรู้สึกอึดอัดเหมือนมีภาระติดพ่วงมากับลมหายใจ ก็ให้ดูลมหายใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เวลานั่งดูลมหายใจอย่างเดียวโดยไม่มีคำภาวนาใดๆ มาเป็นภาระให้กับจิตแล้วมันรู้สึกโปร่งโล่งเบาสบาย

ขอแทรกความรู้ไว้ตรงนี้ด้วย จะได้ไม่เป็นข้อถกเถียงในใจสำหรับผู้ปฏิบัติที่หนักไปทางคัมภีร์ ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ ในบางคัมภีร์ท่านแปลว่า “หายใจออก หายใจเข้า” ส่วนในบางคัมภีร์ท่านก็แปลว่า “หายใจเข้า หายใจออก” แต่ไม่ว่าจะแปลกันอย่างไร ท่านก็หมายรวมเอาอาการของลมหายใจที่เข้าออกซึ่งเป็นกองลมทั้งปวง เพียงให้รู้เป็นความรู้เอาไว้เฉยๆ เท่านั้น ไม่ใช่รู้เพื่อเอาไปถกเถียงกับใคร

ในเวลานั่งสมาธิ เมื่อกำหนดรู้ลมหายใจจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหรือลมหายใจออกก็ได้ ให้รู้ไปพร้อมกันทั้งหมดนั่นแหละ ให้เราหายใจไปตามธรรมชาติ อย่าบังคับลมหายใจให้เข้าหรือให้ออก ให้รู้เพียงว่า เวลาร่างกายหายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก อย่ากดดันลมหายใจให้เข้าให้ออก จะออกก็รู้จะเข้าก็รู้ ให้รู้ลมหายใจที่เป็นไปตามธรรมชาติของลมหายใจ
คือ หายใจอย่างไรก็รู้สึกอย่างนั้น เป็นการรู้กองลมทั้งปวง
…………………
หนังสือ “สุดทางจงกรม”
สมาธิเบื้องต้นสำหรับลงมือปฏิบัติ(สติปัฏฐาน ๔)

พระราชกิจจาภรณ์
(เทอด ญาณวชิโร,วงศ์ชะอุ่ม)
“ญาณวชิระ”